ประเพณีการสืบชะตาข้าว
เป็นประเพณีมงคลที่สำคัญยิ่ง นิยมกระทำในหลายโอกาส เพื่อความเป็นสิริมงคล
การมีชีวิตอยู่สุขสบายปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และภัยอันตรายทั้งปวง
เป็นประเพณีที่ให้ประโยชน์ในด้านจิตใจ นิยมกระทำต่อบุคคล บ้านเมือง
หรือสิ่งที่เคารพบูชา
ประเพณีการสืบชะตาหลวงและสืบชะตาข้าวเป็นประเพณีของคนในท้องถิ่นที่สืบทอดกันมา
ตามความเชื่อที่ว่า การสืบชะตาหลวง เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับคนในชุมชน เพื่อให้
มีชีวิตอยู่สุขสบายปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และภัยอันตรายทั้งปวง การสืบชะตาข้าวเพื่อให้พืชภัณฑ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
การเพาะปลูกในฤดูต่อไป จะได้ผลผลิตดี
เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่ง
รวมถึงให้ทุกคนได้ตระหนักถึงคุณค่าของอาชีพการเพาะปลูกข้าวซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนในท้องถิ่น
จึงได้รับการสืบทอดกันมาจวบจนถึงปัจจุบัน คณะศรัทธาวัดนาทะนุง
สภาวัฒนธรรมตำบลนาทะนุงและองค์การบริหารส่วนตำบลนาทะนุง
ได้ร่วมกันสืบสานประเพณีดังกล่าว
โดยได้จัดงานประเพณีสืบชะตาหลวงและสืบชะตาข้าวขึ้นเป็นประจำทุกปี
เพื่อสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมแห่งความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป
การสืบชะตาข้าว การสืบชะตาเป็นประเพณีการต่ออายุให้ยาวออกไป เพื่อความเป็นสิริมงคล
มีชีวิตอยู่สุขสบายปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และภัยอันตราทั้งปวง
ซึ่งเป็นความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่ได้รับการสืบทอดกันมา
การสืบชะตาถือว่าเป็นประเพณีที่เป็นมงคลซึ่งนิยมกระทำต่อบุคคล บ้าน เมือง
หรือสิ่งที่เคารพบูชา ประเพณีการสืบชะตาข้าว
เป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวตำบลนาทะนุงที่สืบทอดกันมา
ภายหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นยุ้งฉาง
เพื่อความเป็นสิริมงคลและในพืชผลเจริญงอกงาม
และเพื่อประชาชนในชุมชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของข้าว และการเพาะปลูกข้า ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของชุมชน
รวมถึงให้ประชาชนในตำบลได้เรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมอันดีร่วมกัน
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสืบทอดประเพณีนี้ให้คงอยู่ในชุมชนสืบต่อไป เครื่องสืบชะตา
มีดังนี้
1. ไม้ค้ำสะหลี ยาวเท่าวาของผู้ที่จะสืบชะตา
จำนวนเท่าอายุด้านหลายเป็นง่ามหางปลา
2. ไม้ขัว หรือสะพาน ยาว 1 วา
หรือจะเผื่อไปเล็กน้อย จำนวน 2 อัน ห่อด้วยกระดาษเงิน 1 เล่ม กาดาษทอง 1 เล่ม
3. บอกน้ำ บอกทราย บอกข้าวเปลือก บอกข้าวสาร
อย่างละ 1 เล่ม ข้าวเปลือกติดรวงมัดใหญ่
4. หน่อกล้วย หน่ออ้อย อย่างละ 1 หน่อ
5. สาด(เสื่อ)ใหม่ หมอนใหม่ อย่างละ 1 ใบ
6. หม้อเงิน หม้อทอง อย่างละ 1 ใบ
ใช้กระดาษเงิน กระดาษทองหุ้มภายใน ใส่ข้าวเปลือก ข้าวสาร บรรจุถุงอย่างละ 1 ถุง
พร้อมลูกส้ม ของหวาน ตามแต่หาได้
7. ด้ายสีสาย
เทียนเท่าความสูงของผู้ที่สืบชะตา ทำเป็นเทียนขี้ผึ้งเล่มใหญ่ ประมาณ 3 เล่ม ยาว 1 คืบ ส่วนด้ายสีสายนี้ให้ยาวเท่าความสูง 1 เล่ม สำหรับจุดในขณะทำพิธี
8. ด้ายสายสิญจน์ยาวเท่าความสูงผู้สืบชะตาอี 1 เส้น จำนวนเส้นด้ายเท่าอายุนำเทียนมาพันกับด้าย บางแห่งก็ใช้ฝ้ายติ๊ส ตี๋นกาแทน
9. ตุง 3 ตัว
10. ลวดเบี้ย ลวดบุหรี่ ลวดหมาก ลวดพลู
ลวดเงิน ลวดคำ อย่างละ 1 อัน นำมาพันกับด้ายสายสิญจน์มัดติดกับไม้
11. หมากเชื้อ ป้าวเชื้อ
ของเหล่านี้เป็นเครื่องบูชาในงานที่สืบชะตา ด้ายสายสิญจน์ล้วง 9 เส้น
ม้วนสำหรับทำพิธี และผูกข้อมือ
12. แปเมี้ยง แปบุหรี่ ใส่ไม้คืบยาว 1 วา
ของผู้สืบชะตา
13. เทียนใสบาตรพุทธมนต์ 1 เล่ม
14. ขันตั้งสืบชะตา สวยหมาก 8 สวย เทียน 8 เทียนเล่มบาท 1 คู่ เล่มเพี้ยง 1 คู่ ผ้าขาว ผ้าแดง วา กล้วยเครือ
ป้าว(มะพร้าว)เครือ เงิน 62 บาท
15.
ผันดับพระสงฆ์ตามที่นิมนต์(จำนวนคี่)
_______________________________________________________________________________________
ประเพณีตานก๋วยสลาก เป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงรุ่นคุณปู่-ย่า/ตา-ยาย/พ่อ-แม่ และลูกหลานในปัจจุบัน เรื่องมีอยู่ว่ามีนางยักษิณีตนหนึ่งมักจะเบียดเบียน ผู้คนอยู่เสมอ ครั้นได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว นางก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธานิสัยใจคอที่โหดร้ายก็กลับเป็นผู้เอื้ออารีแก่คนทั่วไปจนผู้คนต่างพากันซาบซึ้งในมิตรไมตรีของนางยักษิณีตนนั้น ถึงกับนำสิ่งของมาแบ่งปันให้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ได้รับมีจำนวนมาก นางยักษิณีจึงนำสิ่งของเหล่านั้นมาทำเป็นสลากภัต แล้วให้พระสงฆ์/สามเณร จับสลากด้วยหลักอุปโลกนกรรม คือสิ่งของที่ถวาย มีทั้งของของมีราคามากและมีราคาน้อยแตกต่างกันไป ตามแต่โชคของผู้ได้รับ การถวายแบบจับสลากของนางยักษิณีจึงนับเป็นครั้งแรกของประเพณีทำบุญสลากภัตในพุทธศาสนา
_______________________________________________________________________________________
ประเพณีการแข่งเรือยาวของเมืองน่าน เป็นประเพณีที่เก่าแก่สืบเนื่องกันมาแต่โบราณกาล การจัดแข่งจะจัดกันเองในหน้าน้ำ ในเทศกาลตานก๋วยสลาก (สลากภัต)แต่ละวัดก็จะนำเรือของตนเข้าแข่งเพื่อเปนการสมานสามัคคีกัน เอกลักษณ์ของเรือเมืองน่าน ไม่เหมือนจังหวัดใดในประเทศไทยคือ เป็นเรือที่ขุดจากไม้ตะเคียนหรือตะเคียนทองทั้งต้น โดยเชื่อกันว่า มีความทนทานและผีนางไม้แรง ก่อนจะถึงเวลาแข่งเรือ เรือแข่งแต่ละลำจะแล่นเลาะขึ้นล่องอยู่กลางลำน้ำเพื่ออวดฝีพายและความสวยงามใหประชาชนได้เห็นเสียก่อน ในเรือแข่งจะมีฆ้อง กลอง ฉิ่ง ฉาบ ตีกันเป็นจังหวะดังไปทั่วท้องน้ำน่าน เป็นที่สนุกสนานและน่าดูยิ่งนัก สถานที่สำหรับทำการแข่งขันเรือ ก็ใช้ลำน้ำน่าน หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดน่านเป็นสนามแข่งขันปัจจุบัน การแข่งเืรือเมืองน่าน ได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมบ่งบอกถึงประเพณีของท้องถิ่น ความสามัคคี ศิลปะ สุขภาพอนามัยของชาวบ้าน หากหมู่บ้านใด มีชาวบ้านร่างกายแข็งแรง เรือของหมู่บ้านนั้นก็มักจะชนะ หากหมู่บ้านใดมีผู้มีความคิดสร้างสรรค์ มีศิลปะ เรือของหมู่บ้านนั้นก็จะชนะประเภทสวยงามเช่นกัน การแข่งขันไม่ได้เน้นหนักในด้านการแพ้หรือชนะ แต่เน้นด้านความสนุกสนานและความสามัคคีเป็นหลัก เมื่อมีการแข่งขันกันอย่าง กว้างขวางหลายสนามแข่งขันซึ่งประพฤติปฏิบัติเป็นประจำทุกปีมาโดยตลอด จึงทำให้พฤติกรรมเหล่านี้กลายมาเป็นประเพณีการแข่งขันเรือของจังหวัดน่านในปัจจุบัน เพราะตราบจนกระทั่งวันนี้ คนเมืองน่า่นทุกคน นับแต่ลูกเด็กเล็กแดง จนกระทั่งหนุ่มสาว แก่ชรา ต่างก็ทราบกันดีแล้วว่า ในการแข่งเรือ ใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะไม่สำคัญ เพราะผู้ชนะที่แท้จริง ของงานนี้ก็คือ ชาวเมืองน่านนั่นเอง ที่สามารถสืบทอดงานประเพณีอันสวยงามและยิ่งใหญ่ของตนไว้ได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
_______________________________________________________________________________________
ประเพณีดาปอยงานบวช เมืองน่าน เป็นเมืองพุทธศาสนา
ผู้คนมีความศรัทธาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาอย่างช้านานพร้อมส่งเสริมสนับสนุนถือเป็นธรรมเนียมว่าชายใด
หรือกุลบุตรจะต้องได้บวชเรียนเพื่อซาบซื้งรสพระธรรม และตอบแทนบุญคุณพ่อแม่
ต้องการบวชเรียนในบวรพระพุทธศาสนามักนิยมบวชกันเป็นละแวกหมู่บ้าน
คือบวชวันเดียวกันทีละหลายๆ รูป เรียกว่า
"ดาปอย" คือจะทำกันที่วัดก็ได้หรือจะจัดเตรียมบ้านของใคร
หรือผู้ที่อุมภัมภ์ในการบวชเรียน เรียกว่า "พ่อออก แม่ออก"
งานบวชเมืองน่านมี 2 อย่างคือ 1.ลูกแก้ว คือ การบรรพชา ไม่นิยมทำกันอย่างเอิกเกริก
ทำกันในเฉพาะญาติพี่น้อง เรียกว่า "ปอยหมก" กล่าวคือโกนหัวเข้าวัด 2.เป๊ก คือการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
มีการจัดเตรียมงานและผู้ที่จะบวชจะต้องท่องฝึกคำของบรรพชาอุปสมบทให้คล่องแคล่วชัดเจน
ญาติพี่น้องต้องจัดเตรียมสิ่งของข้าวปลาอาหารไว้ต้อนรับแขกญาติมิตรก่อนที่จะมีงานบวช
ญาติ ๆ หรือผู้คุ้นเคยจะนำพานใส่ผ้าไตร
พร้อมดอกไม้ธูปเทียนไปบอกญาติสนิทและเพื่อนบ้านให้รับรู้ ซึ่งเรียกวิธีการนี้ว่า
"การไปแผ่ผ้าหน้าบุญ"
ถ้าหากผู้ที่ไปร่วมงานไม่ได้ไปในวันงานก็จะร่วมทำบุญไปด้วยกับการที่ไปแผ่ผ้าหน้าบุญแล้วอธิษฐานยกมือขึ้นไว้บนศีรษะคือการ
"เจาะใส่หัว" ระเพณีดาปอยจะมีอยู่ด้วยกัน 2-3 วัน คือ วันแรกเรียกว่า
"วันฮอมครัว" หรือ สีเทียน วันลองหม้อขนมปาด พออีกวันก็คือ "วันห้างดา"
มีการโกนผมนาค ญาติมิตรมาร่วมทำบุญพระนาคจะให้พรกับแขกหรือผู้มาร่วมงาน
มีการเตรียมจัดของถวายพระ
การประดิษฐ์เครื่องบูชาพระพุทธ เช่น ต้นดอก ไทยาน
งานปอยมีการเตรียมบายศรีสู่ขวัญนาคเพื่อขัดเกลาให้ผู้บวชทราบพระคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิดและสั่งสอนในการปฏิบัติวัตรของการเข้าไปเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
วันบวชหรือวันประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบท จะกำหนดเมื่อไหร่ก็ได้ คือ ตอนเช้าตรู่ หรือ
เวลา 10.00น.ก็ได้ หรือเวลาบ่าย เย็นได้หมดแล้วแต่จะกำหนด
โดยญาติิมิตรอยู่ร่วมงานเพื่อแห่ลูกแ้วหรือแห่นาคเข้าวัดเพื่อประกอบพิธี
ประเพณีจิบอกไฟ
(จุดบ้องไฟ) การจุดบอกไฟ
หรือ บ้องไฟ จะจุดเพื่อเป็นพุทธบูชาถวายกับพระธาตุ
วัดที่สำคัญและช่วงเทศกาลปีใหม่เมือง
และจุดเพื่อชิงรางวัลตามความสามารถของคนทำบอกไฟในการจุดบอกไฟ หรือ บ้องไฟ
เมืองน่านมีอยู่ 2 แบบคือจุดเพื่อความสวยงาม เรยกว่า
บอกไฟดอกหรือบอกไฟขวี่ จุดเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น เพื่อแสงอันสวยงาม บอกไฟขึ้น
จะจุดในที่โล่งแจ้ง ไม่เป็นอันตรายกับผู้ชม
ก่อนจะนำไปจุดจะต้องแจ้งต่อคณะกรรมการเพื่อเอาลำดับที่จะจุดและมีชื่อเรียกว่า
"วาร" พร้อมมีขบวนแห่บอกไฟและคำฮ่ำบอกไฟและพรรณาถึงความเป็นเลิศของบอกไฟ
ของคณะศรัทธาบ้านตัวเองและสล่า (ช่าง) ผู้เป็นคนทำบอกไฟ แต่ถ้าหากบอกไฟไม่ขึ้น
เช่น เกิดแตกหรือไม่ยอมพุ่งขึ้น สล่าคนนั้นโดนทั้งผงหมิ่นหม้อ
ผงถ่านสีดำก้นหม้อแกงหรือขี้เปอะ (โคลน) จากกลางทุ่งนาละเลงไปที่ใบหน้าเรียกว่า
"ลุบหมิ่น"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น